ภาพของเทรดเดอร์ที่ถูกล้อมรอบด้วยกลุ่มจอภาพมากมาย และทำการซื้อขายหลายสิบรายการภายในวันเดียว เป็นภาพที่ได้รับความนิยมอย่างมาก แต่ก็ยังมีอีกทางเลือกหนึ่ง
วิธีการที่เน้นความอดทนมากกว่าความเร็ว และกลยุทธ์มากกว่าความเร็ว นี่คือศาสตร์ของสวิงเทรดเดอร์ นักลงทุนที่ดำเนินการในกรอบเวลาที่แตกต่างกัน โดยมุ่งหวังที่จะจับจังหวะการเคลื่อนไหวของตลาดที่สำคัญ หรือที่เรียกว่า "สวิง" ในช่วงเวลาหลายวันและหลายสัปดาห์ แทนที่จะเป็นเพียงไม่กี่นาที วินัยนี้ต้องการความใจเย็น ความมั่นคง และความเข้าใจใน โครงสร้างของตลาด อย่างลึกซึ้ง
ปรัชญาหลัก: การจับวงสวิง
การซื้อขายแบบสวิงเป็นรูปแบบการซื้อขายระยะกลางที่อยู่ระหว่างแนวทางการซื้อขายแบบรายวันอย่างรวดเร็วและแนวทางการลงทุนแบบซื้อและถือในระยะยาว
เป้าหมายพื้นฐานคือการทำกำไรจากความผันผวนของราคาที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาหลายวันไปจนถึงสองสามสัปดาห์ ต่างจากเดย์เทรดเดอร์ที่ปิดสถานะทั้งหมดก่อนตลาดปิด สวิงเทรดเดอร์สามารถถือสถานะข้ามคืนได้อย่างสบายใจ โดยยอมรับความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องเพื่อแสวงหาส่วนที่กว้างขึ้นของแนวโน้มตลาด
แนวทางนี้สร้างขึ้นจากแนวคิดที่ว่าราคาตลาดเคลื่อนไหวเป็นระลอกคลื่น โดยมีช่วงขาขึ้นตามด้วยช่วงขาลง เทรดเดอร์แบบสวิง (Swing Trader) จะพยายามเข้าเทรดหลังจากช่วงขาลงเริ่มต้น และออกจากตลาดก่อนที่ราคาจะกลับตัวและกัดกร่อนกำไร
จุดเน้นไม่ได้อยู่ที่การจับจุดสูงสุดหรือจุดต่ำสุดของการเคลื่อนไหวของราคา แต่อยู่ที่การจับจุดนั้นให้ได้มากที่สุด กลยุทธ์นี้โดยเนื้อแท้แล้วต้องใช้ความอดทน เทรดเดอร์อาจเฝ้าดูสินทรัพย์เป็นเวลาหลายวัน รอให้การตั้งค่าที่สมบูรณ์แบบเกิดขึ้นจริงก่อนตัดสินใจลงทุน
กลยุทธ์พื้นฐานสำหรับนักลงทุนที่มีความอดทน
การเทรดแบบสวิงที่ประสบความสำเร็จนั้น อาศัยชุดกลยุทธ์ที่กำหนดไว้อย่างชัดเจน ซึ่งช่วยให้เทรดเดอร์สามารถระบุและดำเนินการตามโอกาสที่มีความน่าจะเป็นสูงได้ กลยุทธ์เหล่านี้ส่วนใหญ่มักจะอิงตามการวิเคราะห์ทางเทคนิค โดยใช้กราฟราคาเป็นแหล่งข้อมูลหลัก
- การซื้อขายตามเทรนด์ :
หนึ่งในแนวทางที่น่าเชื่อถือที่สุดคือการปรับทิศทางการซื้อขายให้สอดคล้องกับแนวโน้มตลาดหลัก เทรดเดอร์แบบสวิงมักใช้กราฟรายวันเพื่อให้เห็นภาพการเคลื่อนไหวของราคาโดยรวมได้อย่างชัดเจน สินทรัพย์ที่ทำจุดสูงสุดใหม่ (higher high) และจุดต่ำสุดใหม่ (higher low) ติดต่อกันหลายจุดจะอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น ส่วนสินทรัพย์ที่ทำจุดต่ำสุดใหม่ (lower low) และจุดสูงสุดใหม่ (lower high) จะอยู่ในแนวโน้มขาลง
การเข้าตำแหน่งซื้อ (ซื้อ) ในช่วงแนวโน้มขาขึ้น และตำแหน่งขาย (ขาย) ในช่วงแนวโน้มขาลง จะช่วยเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จของผู้ซื้อขาย
- ระดับการสนับสนุนและการต้านทาน :
การระบุระดับแนวรับและแนวต้านที่สำคัญถือเป็นรากฐานสำคัญของการเทรดแบบสวิง ระดับแนวรับคือจุดราคาที่ความสนใจในการซื้อมีมากพอที่จะป้องกันไม่ให้ราคาลดลงอีก
ระดับแนวต้านคือจุดราคาที่แรงขายมักจะเอาชนะแรงซื้อ เทรดเดอร์แบบสวิงมักจะซื้อใกล้แนวรับที่แข็งแกร่งในแนวโน้มขาขึ้น และขายใกล้ แนวต้าน ที่แข็งแกร่งในแนวโน้มขาลง
- การซื้อขายแบบ Breakout และ Breakdown :
กลยุทธ์นี้เกี่ยวข้องกับการเข้าสู่ตำแหน่งเมื่อราคาสินทรัพย์เคลื่อนไหวอย่างเด็ดขาดผ่านระดับสำคัญ
“การทะลุ” เกิดขึ้นเมื่อราคาทะลุผ่านแนวต้าน ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงการเริ่มต้นของการเคลื่อนไหวขาขึ้นอย่างแข็งแกร่ง ในทางกลับกัน “การทะลุ” เกิดขึ้นเมื่อราคาตกลงมาต่ำกว่าแนวรับ ซึ่งบ่งชี้ว่ากำลังมีการเคลื่อนไหวขาลงอย่างมีนัยสำคัญ สิ่งสำคัญคือการรอจนกว่าจะได้รับการยืนยันว่าการทะลุเกิดขึ้นจริง ไม่ใช่สัญญาณหลอก
- การซื้อขายแบบย้อนกลับหรือแบบดึงกลับ :
ในแนวโน้มที่แข็งแกร่ง ราคาจะไม่เคลื่อนไหวเป็นเส้นตรง แนวโน้มขาขึ้นจะมีช่วงขาลงชั่วคราว ซึ่งเรียกว่า pullbacks หรือ retracements ก่อนที่แนวโน้มขาขึ้นจะกลับมาอีกครั้ง
เทรดเดอร์แบบสวิงใช้การย่อตัวเหล่านี้เป็นโอกาสในการเข้าเทรดที่ราคาดีกว่า พวกเขาอาจใช้ตัวบ่งชี้ทางเทคนิคหรือรูปแบบกราฟเพื่อระบุจุดสิ้นสุดของการย่อตัวและการกลับมาของแนวโน้มหลัก
เครื่องมือสำคัญของการค้า
ในการดำเนินกลยุทธ์เหล่านี้ เทรดเดอร์สวิงเทรดเดอร์จะต้องอาศัยชุดตัวบ่งชี้ทางเทคนิคเฉพาะ เครื่องมือเหล่านี้ช่วยวิเคราะห์โมเมนตัมของตลาด ระบุแนวโน้ม และกำหนดเวลาเข้าและออก
ตัวบ่งชี้ | การทำงาน | การสมัครเข้าร่วม Swing Trading |
ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (MA) | ปรับข้อมูลราคาให้เรียบเพื่อระบุทิศทางของแนวโน้ม | เทรดเดอร์มักใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ระยะสั้น (เช่น 50 วัน) ร่วมกับค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ระยะยาว (เช่น 200 วัน) เมื่อค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ระยะสั้นตัดผ่านค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ระยะยาว อาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงแนวโน้มขาขึ้น |
ดัชนีความแข็งแกร่งสัมพันธ์ (RSI) | ออสซิลเลเตอร์โมเมนตัมที่วัดความเร็วและการเปลี่ยนแปลงของการเคลื่อนไหวของราคา | มาตรวัด RSI มีค่าตั้งแต่ 0 ถึง 100 ค่าที่สูงกว่า 70 บ่งชี้ว่าสินทรัพย์นั้นอยู่ในภาวะ “ซื้อมากเกินไป” ในขณะที่ค่าที่ต่ำกว่า 30 บ่งชี้ว่าสินทรัพย์นั้นอยู่ในภาวะ “ขายมากเกินไป” ซึ่งอาจส่งสัญญาณการกลับตัวของราคาได้ |
แถบบอลลิงเจอร์ | ประกอบด้วยค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่บวกกับแถบค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานสองแถบด้านบนและด้านล่าง | แถบจะกว้างขึ้นในช่วงที่มีความผันผวนสูง และหดตัวในช่วงที่มีความผันผวนต่ำ ราคาที่แตะแถบด้านนอกอาจบ่งชี้ว่าตลาดมีการขยายตัวมากเกินไป และมีโอกาสกลับตัวได้ |
รากฐานแห่งความสำเร็จ: การจัดการความเสี่ยง
ไม่มี กลยุทธ์การซื้อขาย ใดที่จะประสบความสำเร็จได้ หากปราศจากแนวทางการบริหารความเสี่ยงที่เข้มงวด สำหรับสวิงเทรดเดอร์ การปกป้องเงินทุนเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง เนื่องจากสถานะการถือครองไว้เป็นเวลานาน จึงมีความเสี่ยงต่อความไม่แน่นอนมากกว่า
กฎสำคัญสำหรับหลาย ๆ คนคือกฎ 1% ซึ่งกำหนดว่าเทรดเดอร์ไม่ควรเสี่ยงเกิน 1% ของเงินทุนในการเทรดแต่ละครั้ง สำหรับบัญชีที่มีเงิน 50,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ หมายความว่าความเสี่ยงสูงสุดที่อาจเกิดขึ้นในการเทรดหนึ่งครั้งจะถูกจำกัดไว้ที่ 500 ดอลลาร์สหรัฐฯ หลักการนี้ช่วยให้มั่นใจได้ว่าการเทรดที่ขาดทุนติดต่อกันจะไม่ทำให้บัญชีสูญ
นอกจากนี้ การซื้อขายทุกครั้งต้องมีคำสั่ง Stop-loss ที่กำหนดไว้ล่วงหน้า ซึ่งเป็นคำสั่งที่วางกับโบรกเกอร์เพื่อปิดสถานะโดยอัตโนมัติหากราคาเคลื่อนไหวสวนทางกับเทรดเดอร์ตามจำนวนที่กำหนด คำสั่ง Stop-loss สำหรับการซื้อขายแบบสวิงเทรดมักจะวางไว้ที่ระดับทางเทคนิคที่สมเหตุสมผล เช่น ต่ำกว่าระดับแนวรับสำคัญเล็กน้อยสำหรับการซื้อขายแบบ long
ท้ายที่สุด เทรดเดอร์สวิงที่ประสบความสำเร็จจะประเมินอัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทนของการเทรดที่อาจเกิดขึ้นเสมอ ซึ่งรวมถึงการเปรียบเทียบจำนวนเงินที่มีความเสี่ยง (ระยะห่างจากจุดเข้าไปยังจุดตัดขาดทุน) กับผลกำไรที่อาจเกิดขึ้น (ระยะห่างจากจุดเข้าไปยังเป้าหมายกำไร) เทรดเดอร์หลายคนจะเลือกเทรดที่ให้ผลตอบแทนที่เป็นไปได้อย่างน้อยสองเท่าของความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น (อัตราส่วน 1:2)
การเทรดแบบสวิงเทรด ไม่ใช่วิธีรวยทางลัด แต่มันคือการเทรดอย่างเป็นระบบและอดทน จำเป็นต้องมีการวิเคราะห์อย่างรอบคอบ การวางแผนเชิงกลยุทธ์ และความมุ่งมั่นอย่างแน่วแน่ในวินัย สำหรับผู้ที่มีคุณสมบัติเหล่านี้ การเทรดแบบสวิงเทรดเป็นช่องทางที่น่าสนใจในการเข้าถึงตลาดการเงิน โดยการสวิงแบบมีการคำนวณอย่างรอบคอบในแต่ละครั้ง